top of page

South America : วาร์ปไปสุดขอบโลก ตอน 4

  • รูปภาพนักเขียน: Pikmy Pymik
    Pikmy Pymik
  • 1 พ.ย. 2563
  • ยาว 2 นาที

อัปเดตเมื่อ 14 ต.ค. 2567


ree

ความเดิมตอนที่แล้ว เดินเล่นอยู่บัวโนสไอเรส 1 วัน ก่อนบินมาลิม่า


อ่านตอนที่แล้ว 👇



ree

Day 13 in Lima, Peru


เราบินถึงลิม่าช่วงเช้า หลังจากรับกระเป๋าเรียบร้อยก็เดินมาซื้อตั๋วแบบไป-กลับของ Airport Express Bus ซึ่งสะดวกมาก ๆ มีเจ้าหน้าที่พาไปที่รถแถมเช็คชื่อและจุดที่ลงด้วย


ree

ree

จากจุดที่ลงรถบัส เดินไป 5 นาที ถึง Inti Killa Hostel ที่จองไว้ ที่นี่เป็นบ้านที่นำมาดัดแปลงเป็น hostel เล็กกะทัดรัดแต่ปลอดภัย เจ้าหน้าที่ใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างดี เราเลือกที่พักนี้นอกจากราคาน่ารักแล้ว ยังใกล้กับทะเลที่สามารถเดินไปได้ รวมถึงแหล่งร้านอาหารที่น่าสนใจด้วย


ree
จุดจอดรถ airport shuttle bus เดินไปที่พัก ใกล้มากๆ

ree

เช็คอินวางกระเป๋าเรียบร้อย ก็สอบถามพนักงานเรื่องร้านแลกเงินและร้านซื้อซิมการ์ด (ภาวนาว่า จะเจอ shop ที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ จะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นทันที) วันนี้เพื่อนแก๊ง power puff อีกคนนึงมาถึงก่อนแล้ว ไปเดินเที่ยวในเมืองเรียบร้อย ระหว่างทางเราหาร้านแลกเงินที่ร้านข้างทาง (ตามคำแนะนำของพนักงาน hostel) ได้เรทราคาที่ดี (1$=3.37 PEN หรือ เรียกว่า Peru sol) ได้เงินแล้วก็เดินไปซื้อซิมการ์ด ที่นี่เราเลือกยี่ห้อ Bitel Shop (เพื่อนที่มาก่อนได้ไปเดินหาเรียบร้อย และแนะนำก่อนเรามาถึง) ทำให้เราทำภารกิจ S Class ได้ภายใน 15 นาที


ได้ซิมการ์ดเรียบร้อย ก็นั่งแท็กซี่ไปหาเพื่อนที่ย่านเมืองเก่า Cercado de Lima ตรงแหล่งท่องเที่ยว Plaza De Armas De Lima ที่เป็นจัตุรัสศูนย์กลางเมืองประวัติศาสตร์ รายล้อมด้วยวิหารเก่าแก่สำคัญมากมาย ไปอ่านเจอมาว่ามีน้ำพุโบราณและสุสานนักสำรวจอยู่ข้างใน แต่ไม่ได้เดินเข้าไปดู ในอดีตบริเวณนี้เป็นทั้งตลาด สนามสู้วัวกระทิงและที่แขวนคอนักโทษอีกด้วย (ใช้ประโยชน์ได้หลายฟังก์ชั่นมากๆ) ที่จัตุรัสนี้ได้ชื่อว่า Ciudad de los Reyes” (City of Kings) ได้รับเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ในปี ค.ศ. 1988 (ที่มา : https://whc.unesco.org/en/list/500/)


ree

ree
ree

มาที่นี่ดูเหมือนจะเป็นจุดสนใจของคนเมืองที่นี่ มีมาขอถ่ายรูปกันยกใหญ่ (และเช่นเคย เราคือของแปลกสำหรับที่นั่น ถ้ามองให้ดีคือไม่มีพวกผิวเหลืองหน้าเอเชียในบริเวณนั้นเลย)


ree

ผู้คนดูยิ้มแย้มแจ่มใสและมีตำรวจคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ แต่ก็ไม่ประมาทคอยระมัดระวังตัวพวกมิจฉาชีพด้วย บริเวณถนนคนเดิน Jirón de la Unión จะมีคนขายของตามท้องถนน เมื่อปฎิเสธไม่ซื้อของเค้า เค้าจะไม่ตื๊อ ดูสุภาพ

(รูปต่างๆ ถ่ายรูปกับคนท้องถิ่น และ ภาพแถวจัตุรัส)


ree

ree

ree

ree

ree

ree

รอบจัตุรัสนี้ มีวิหาร อาคารและโบสถ์สำคัญรายล้อมทั้งสี่ด้าน (แต่ดูเหมือนๆ กันหมดสำหรับเรา) เราเข้ามาดู Basílica y Convento de San Francisco de Lima คนละ 10 sol เป็นโบสถ์สไตล์บาร็อคของสเปนที่สร้างในช่วง ค.ศ. 1538 มีการดูแลสถาปัตยกรรมในสภาพที่สมบูรณ์อยู่ (ที่เหลือไปอ่านประวัติกันเอาเองละกัน /ปาลิ้ง


ree

ree

ree

ree

ree

ree

ree

ree

ree

ใช้เวลาแถวจัตุรัสนี้ไปพอสมควร แล้วเดินไปหาข้าวเย็นกิน คืนนี้ เราแพ็คกระเป๋าเตรียมตัวไปเมืองกุซโก วันพรุ่งนี้

ree


Day 14 in Cusco, Peru


ree

ree

ตื่นแต่เช้ารีบไปสนามบิน เกรงว่ารถจะติดเหมือนตอนขาเข้าเมือง เราบินด้วยสายการบิน Sky Airline เป็นสายการบินภายในประเทศที่ใช้เวลาบินจากลิม่า ถึง สนามบินกุสโก ประมาณ 1.30 ช.ม. เราขอให้ที่พักช่วยเรียกแท็กซี่แบบรับ-ส่ง ระหว่างสนามบินกับที่พักให้ด้วย ซึ่งราคาน่ารักมาก คนละ 10 sol เท่านั้น หรือถ้าใครอยากลองเรียกแท็กซี่เอง ออกไปข้างนอกตามแนวกั้นมีมากมายให้เลือกสรร อ่านวิธีที่นี่ได้ https://www.peruhop.com/cusco-airport-general-information-and-useful-tips/


ree
photo credit: https://www.peruhop.com/cusco-airport-general-information-and-useful-tips/

ความสนุกที่หน้าสนามบินได้เริ่มขึ้นแล้ว


เมืองกุสโกเป็นเมืองใหญ่บนเทือกเขาระดับความสูง 3,300 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งในอดีตกุซโก แห่งนี้นั้นถือได้เป็น “เมืองหลวง” ของอาณาจักรอินคาที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมอินคาโบราณที่คงอยู่ ปัจจุบันกุซโกเป็นเหมือนประตูเมืองท่องเที่ยวไปตามจุด highlight ต่างๆ เช่น Sacred Valley, Machu Picchu, Rainbow Mountain เป็นต้น (แต่เราไม่ได้ไป Sacred Valley เพราะคิดว่า 2 ที่ท่องเที่ยวก็กระอักแล้ว)


*แนะนำ*

  • ก่อนเดินทางขอให้เตรียมตัวเรื่องภาวะความกดอากาศต่ำ ทำให้หายใจลำบาก ควรปรับร่างกายโดยให้ชินกับความสูงที่ลิม่าซัก 1-2 วันก่อนมาเมืองนี้

  • ยา Diamox ควรกินก่อน 36-48 ชั่วโมง บางคนกิน 125 mg บางคนกิน 250 mg เพื่อป้องกัน Altitude Sickness ทั้งนี้ควรไปปรึกษาแพทย์ก่อนกินยาด้วยนะฮะ ตอนแรกเพื่อนเราจะกินสี่เม็ด ดีนะที่เตือนก่อนไม่งั้น นอนชักตัวชาฉี่แตกคาที่นอน อยู่ที่กุซโกหาคนช่วยไม่ได้แน่ๆ

  • อาการ Altitude Sickness เกิดจากร่างกายที่ไม่สามารถปรับตัวให้อยู่ในภาวะที่มีออกซิเจนน้อยได้ ทำให้เกิดอาการปวดหัว นอนไม่หลับ เหนื่อยง่าย ฯลฯ ซึ่งถ้าอาการรุนแรงอาจตายได้

  • เมื่อกินยาแล้ว จะเกิดอาการชาแล้วแต่ส่วนของร่างกาย ของเราเป็นที่นิ้ว ของเพื่อนเป็นที่แขนและขา ส่วนอีกคนเป็นที่ก้น ขึ้นอยู่กับว่าใครจะโชคดีไปชาตรงไหน นอกจากอาการชาแล้วยังทำให้เกิดการปวดฉี่บ่อยด้วย

  • อยู่ที่กุสโกต้องเดินให้ช้า หายใจให้ช้า


ree

ตามข้างทางที่เห็น หลายบ้านประดับธงหลากสี ซึ่งเราคิดว่าเค้าเป็น LQBT-friendly แต่ ไม่ใช่ ที่จริงแล้วคือธงประจำท้องถิ่นของเมืองกุสโก


เราเลือกนอน Muyucmarka Hospedaje Familiar เป็น Guest house ที่ตั้งอยู่บนเขา ไม่ห่างจากเมือง ข้างนอกดูแบบอิหยังว๊ะ แต่พอเดินผ่านประตูเข้ามาแล้วดูโอเคเลย เหมือนเดินสู่อีกมิติหนึ่งของเมือง


ree

ree

เมื่อถึงแล้วทักทายกับเจ้าของบ้านพักที่พูดภาษาอังกฤษได้อย่างดี เค้าบอกว่าที่บ้านนี้ สามารถใช้พื้นที่ส่วนกลางได้ คือ โต๊ะกินข้าว และ ห้องครัว!! (ซึ่งตอนแรกเราก็ไม่ได้คิดว่าจะใช้ครัวของเค้า เพราะหาอาหารกินข้างนอกอยู่แล้ว) ทำการจ่ายเงินและเก็บกระเป๋าเข้าห้องเรียบร้อย เตือนให้ทุกคนกินยา diamox กันให้เรียบร้อย เราพักที่นี่ 4 คืน ค่าที่พักคนละ 215 sol (ราคาค่าที่พักคือถูกมากๆ แถมห้องพักใหญ่เพียงพอสำหรับกระเป๋าหลายใบ และอยู่ได้สามคน ยกเว้นห้องน้ำที่ระดับน้ำอุ่นไม่คงที่)

ree

ree

วันนี้ เราตั้งใจว่ามาปรับสภาพร่างกายให้เหมาะกันภูมิอากาศบนเทือกเขา ตามข้างทางมีป้ายตัวอัลปาก้าป่วย ดูเหมือนทุกคนจะต้องการยา ใครลืม diamox ก็จัดชุดนี้ไปได้ (แต่ไม่แน่ใจว่าเค้าพูดภาษาอังกฤษได้รึเปล่านะ)

ree

ree
เดาว่ายาแก้ป่วยนี้ มีส่วนผสมของใบโคคาที่จะทำให้เมาๆ หน่อย

ree

นอกจากนี้ ตามตรอกซอกซอยที่เดินไป จะเห็นร้านอาหารท้องถิ่น มีมั้งเนื้ออัลปาก้า หนูแก้สบี้ เป็นอาหารหลัก (ไม่กล้าลองหนูแก้สบี้ สงสาร) พวกเราได้ลองลิ้มรสเนื้ออัลปาก้าไป ใครใคร่ลองขอให้เตรียมใจไว้ เพราะ"มัน-เหนียว-มาก"



ree

ree

หลังจากเติมพลังแล้ว ก็เดินไปที่จุดแลกตั๋วขึ้นมาชูปิกชูก่อน


*แนะนำ*

  • ที่จุดแลกตั๋วนี้ควรเช็ครายละเอียดทั้งตัวสะกด ชื่อ-นามสกุล เลข passport ให้ถี่ถ้วน

  • ควรเป็นสิ่งแรกที่มาถึง เพราะเจ้าหน้าที่ที่ดูแลมีจำนวนน้อย

  • ถ้าไม่ได้จองตั๋วออนไลน์ล่วงหน้ามา มีร้านให้บริการจำนวนมากๆ รอบๆ ตัวเมือง (ราคาไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่)


ree

ree

ree

ree

ree

ree

ree

เราเดินช้าๆ หายใจยาวๆ ไปชมสถานที่สำคัญรอบๆ เมือง ในระหว่างที่เดินชมเมืองก็คุยกันเรื่องการทำกับข้าวมื้อค่ำ (เพราะไม่อยากกินเนื้ออัลปาก้าอีก) รวมถึงการใช้ครัวของที่พัก วิญญาณเชฟกระทะเหล็กแห่งวังหลวงเข้าร่างพวกเราทั้งสาม เดินหาซุปเปอร์มาเก็ตช้อปอาหารสดกลับมาที่พัก






กับข้าวที่ทำเองกับมือ ร้อนๆ ท่ามกลางอากาศหนาวจัด ถือว่าดีมากๆ คืนนี้พวกเราต้องรีบนอนเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมกับการเดินทางไปมาชูปิกชู ซึ่งทัวร์แจ้งว่าจะมารับตรงเวลา เพื่อไม่ให้ไปกระทบเวลารับนักท่องเที่ยวคนอื่นสายด้วย


ความคิดเห็น

ได้รับ 0 เต็ม 5 ดาว
ยังไม่มีการให้คะแนน

ให้คะแนน

Drop Me a Line, Let Me Know What You Think

Thanks for submitting!

© 2020 by Lost Journey. Proudly created by Pikmy

bottom of page